ศึกยูโร 2020 ก็ปิดฉากอย่างสมบูรณ์แบบ อิตาลี สมควรที่จะเป็นเจ้าของโทรฟี่อองรี เดอโลเน่ย์ เมื่อสามารถดวลจุดโทษชนะ อังกฤษ 3-2 หลังเสมอกัน 120 นาที 1-1 ส่งผลให้ทัพ “อัซซูรี่” ได้แชมป์รายการนี้เป็นสมัยที่ 2
อิตาลี ภายใต้การคุมทัพของ โรแบร์โต้ มันชินี่ มีสถิติที่ยอดเยี่ยมสะกดคำว่าแพ้ไม่เป็นนานถึง 34 เกม (รวมนัดชิง) ในรอบแบ่งกลุ่มพวกเขาเก็บชัยชนะ 3 เกมรวดและไม่เสียประตูเลย แต่ในรอบน็อกเอาต์พวกเขาเสียประตูมาตั้งแต่เกมชนะออสเตรีย (2-1), เบลเยียม (2-1), สเปน (1-1 ชนะจุดโทษ 4-2) และเสมอ อังกฤษ 1-1
ความสำเร็จของ อิตาลี เป็นสิ่งที่พวกเขาเฝ้ารอรอมานานในศึกฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป สมัยแรกที่พวกเขาทำได้ต้องย้อนไปในปี 1968 ซึ่งพวกเขาเป็นเจ้าภาพ และต้องรอถึง 53 ปีถึงจะมาได้สมัยที่ 2
ตอนนี้วลีเด็ดที่ชาวอังกฤษมักจะนำมาใช้กันนั่นก็คือ “ฟุตบอล’ส คัมมิ่ง โฮม!” (Football’s coming home!) แต่ตอนนี้กลายเป็น “ฟุตบอล’ส คัมมิ่ง โรม ! (Football’s coming Rome!) ไปซะแล้ว !!!
แชมป์ : อิตาลี
รองแชมป์ : อังกฤษ
ดาวซัลโว : คริสเตียโน่ โรนัลโด้ (5 ประตู 1 แอสซิสต์)
นักเตะยอดเยี่ยมประจำทัวร์นาเมนต์ : จานลุยจิ ดอนนารุมม่า (อิตาลี)
ผู้รักษาประตูยอดเยี่ยม : จอร์แดน พิคฟอร์ด (อังกฤษ)
แอสซิสต์มากสุด : สตีเว่น ซูเบอร์ (สวิตเซอร์แลนด์) 4 ครั้ง
ประตูเร็วสุดในนัดชิงชนะเลิศ : ลุค ชอว์ (1:57 นาที)
เงินรางวัล
สำหรับเงินรางวัลในศึกยูโร 2020 บรรดา 24 ทีมจะได้เงินทีมละจะได้รับเงินรางวัลเบื้องต้นสำหรับการเล่นรอบสุดท้ายทีมละ 9.25 ล้านยูโร (ราว 324 ล้านบาท) จากนั้นก็ขึ้นอยู่กับผลงานว่าไปได้ไกลแค่ไหน โดยทีมแชมป์มีสิทธิ์ทำเงินได้สูงสุดถึง 34 ล้านยูโร (ราว 1,190 ล้านบาท) เลยทีเดียว
ลิสต์เงินรางวัลของทาง ยูฟ่า
แชมป์ : 10 ล้านยูโร (ราว 350 ล้านบาท)
รองแชมป์: 7 ล้านยูโร (ราว 245 ล้านบาท)
เข้ารอบรองชนะเลิศ: 4 ล้านยูโร (ราว 140 ล้านบาท)
เข้ารอบ 8 ทีมสุดท้าย: 3.25 ล้านยูโร (ราว 114 ล้านบาท)
เข้ารอบ 16 ทีมสุดท้าย: 2 ล้านยูโร (ราว 70 ล้านบาท)
ชนะรอบแบ่งกลุ่มนัดละ: 1.5 ล้านยูโร (ราว 53 ล้านบาท)
เสมอในรอบแบ่งกลุ่ม: 750,000 ยูโร (ราว 26.25 ล้านบาท)
เข้ามาเล่นในรอบสุดท้าย (24 ทีม)ได้ทีมละ : 9.25 ล้านยูโร (ราว 324 ล้านบาท
“สิงโตคำราม” ฝันสลายชวดแชมป์ยูโรสมัยแรกหลัง อิตาลี ชนะจุดโทษซิวแชมป์สมัยที่ 2 ได้สำเร็จ