ปาทริซ เอวร่า อดีตนักเตะคนเก่งของ แมนฯ ยูไนเต็ด ชี้ ลิเวอร์พูล ชุดปัจจุบันยังไม่ใช่หนึ่งในทีมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของวงการฟุตบอลอังกฤษ โดยบอกว่า “หงส์แดง” ต้องคว้าแชมป์ลีกให้ได้ 3 ฤดูกาล ถึงจะเข้าเงื่อนไขนั้นได้
ปาทริซ เอวร่า อดีตักเตะ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กล่าวว่า ลิเวอร์พูล ชุดปัจุบัน ยังไม่เข้าขั้นเป็นหนึ่งในทีมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของวงการฟุตบอลอังกฤษ
“หงส์แดง” ภายใต้การทำทีมของ เจอร์เก้น คล็อปป์ อยู่ในช่วงขาขึ้น โดยพวกเขาได้แชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เมื่อฤดูกาล 2018-19 ต่อด้วยการได้แชมป์ลีกเมื่อซีซั่นก่อน ขณะที่ฤดูกาลนี้ก็ยังดูมีโอกาสดีที่จะป้องกันแชมป์เอาไว้ได้ ล่าสุดก็เพิ่งเปิดรัง แอนฟิลด์ ชนะ เลสเตอร์ ซิตี้ 3-0 เมื่อวันอาทิตย์ที่ 22 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา มี 20 คะแนน เท่ากับ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ที่เป็นจ่าฝูงด้วย เพียงแต่ ลิเวอร์พูล เป็นรองเรื่องผลต่างประตูได้-เสียเท่านั้น
ชัยชนะเหนือ เลสเตอร์ ยังทำให้ ลิเวอร์พูล ชุดนี้ ทำลายสถิติของสโมสรในด้านการไม่แพ้ใครคาบ้านติดต่อกันยาวนานที่สุดในเกมลีกเช่นกัน หลังจากตอนนี้พวกเขาไม่แพ้ใครคา แอนฟิลด์ มาแล้วถึง 64 เกมติดต่อกัน โดยสถิติดังกล่าวยืนยาวมานาน 40 ปีเลยทีเดียว ซึ่งมันก็ทำให้มีการยกย่องมากขึ้นว่า ลิเวอร์พูล ชุดนี้เป็นชุดที่ดีที่สุดของสโมสร รวมถึงเป็นหนึ่งในทีมที่ยิ่งใหญ่ของวงการฟุตบอลเมืองผู้ดีด้วย
เอวร่า เผยระหว่างทำหน้าที่กูรูของ สกายสปอร์ตส์ สื่อกีฬาชั้นนำว่า “เราต้องใจเย็นกันหน่อยนะ มันเพิ่งผ่านมาแค่ 9 นัดเท่านั้น ผมจะบอกว่าพวกเขาเป็นทีมที่ยิ่งใหญ่ก็ต่อเมื่อพวกเขาได้แชมป์ลีก 3 ฤดูกาลติดต่อกัน ถ้าซีซั่นนี้พวกเขาไม่ได้แชมป์ลีกแล้วล่ะก็ ผมก็จะไม่เรียกพวกเขาว่าทีมที่น่ามหัศจรรย์หรอก สิ่งที่สำคัญคือเรื่องความคงเส้นคงวา พวกเขาต้องได้แชมป์ในทุกๆ ฤดูกาล พวกเขาต้องทำอย่างนั้นให้ได้ซะก่อนเราถึงจะยอมเรียกพวกเขาว่าเป็น ลิเวอร์พูล ที่ยิ่งใหญ่ ก่อนหน้านี้มีหลายทีมที่ทำอย่างนั้นได้ไปแล้ว ผมจะยอมเรียกพวกเขาว่าเป็น ลิเวอร์พูล ที่เก่งที่สุดก็ต่อเมื่อพวกเขาได้แชมป์ลีก 3 สมัยติดเท่านั้น”
ทั้งนี้ เฟร็ดดี้ ลุงเบิร์ก อดีตยอดปีกของ อาร์เซน่อล ซึ่งทำงานเป็นกูรูให้ สกายสปอร์ตส์ เหมือนกันนั้น ก็บอกว่าตนเห็นด้วยกับคำพูดของ เอวร่า “พวกเขาเป็นสโมสรที่ยอดเยี่ยม แต่ผมคิดว่ามันไม่ยุติธรรมเท่าไหร่หากจะบอกว่าพวกเขาเป็นทีมที่ดีที่สุดหากเปรียบเทียบกับทีมอื่นๆ ในประวัติศาสตร์ ผมเห็นด้วยกับ ปาทริซ”